ไปเดินเล่นกันเถอะ

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวในปัจจุบัน โดยเฉพาะเหล่าคนหนุ่มสาวที่ชื่นชอบในการเดินทางผจญภัยไปในธรรมชาติก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า กระแสการท่องเที่ยวแบบแคมป์ปิ้งไม่ว่าจะเป็นการตั้งเต็นท์นอนชื่นชมธรรมชาติ หรือแม้แต่การท่องเที่ยวแบบขาแคมป์ ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวแบบนอนในรถแทนการเข้าโรงแรมที่พักอาศัยราคาแพงและยังได้สัมผัสกับธรรมชาติผ่อนคลายจิตใจอันเหนื่อยล้าของตนเองอยู่ด้วย ซึ่งเรื่องราวของเราในบทความนี้ก็เกิดขึ้นในจุดตั้งเต็นท์ของวนอุทยานแห่งหนึ่เช่นกัน เรื่องราวเริ่มต้นที่คุณเอและคุณบีคู่รักหนุ่มสาวได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างจังหวัด ด้วยความรักในการผจญภัยทั้งคู่จึงได้มีการวางแผนที่จะไปท่องเที่ยวแบบกางเต็นท์นอนพักค้างแรมในวนอุทยานแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเพราะเป็นการท่องเที่ยวแบบสบายใจฉันทำให้ทั้งคู่แวะแหล่งท่องเที่ยวตามรายทางเป็นจำนวนบ่อยครั้งจนกว่าจะมาถึงอุทยานก็เข้าสู่ช่วงค่ำของวันแล้ว ยังดีที่ช่วงเวลาที่คู่รักหนุ่มสาวทั้งสองคนได้เดินทางไปเป็นช่วงเวลาที่ไม่ใช่ช่วงผู้คนนิยมท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ ทำให้พื้นที่กางเต็นท์ยังคงว่างอยู่ เรียกได้ว่ามีเพียงเต็นท์ไม่กี่หลังตั้งอยู่ห่างกันเป็นอย่างมาก หลังจากช่วยกันตั้งเต็นท์และนำอาหารมารับประทานกัน คุณบีแฟนสาวก็ขอตัวเข้าไปนอนในเต็นท์ก่อน ด้วยความเหนื่อยล้า ส่วน คุณบีชายหนุ่มขอนั่งเล่นอยู่หน้าเต็นท์ ชื่นชมบรรยากาศยามค่ำคืนของวนอุทยานแห่งนี้เสียก่อน ภายหลังจากนั่งเล่นไปพักใหญ่อยู่ ๆ คุณบีก็เปิดเต็นท์ออกมาและทำการชวนคุณเอให้ไปเดินเล่นแถวนี้กัน แม้ว่าในบริเวณนั้นจะเริ่มมืดกันแล้วแต่ก็ยังพอมีแสงไฟของหน่วยงานวนอุทยานติดตั้วไว้ให้เห็นทางเดินอยู่ แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจว่าคุณบีมักจะชี้ชวนให้คนอื่นเดินไปในจุดที่มืดมิดเกินที่แสงไฟจะส่องถึงบ้างหรือที่ที่ดูอันตรายบ้างตลอดการเดินเล่น หากแต่กลับเป็นคุณเอที่เตือนแฟนสาวพร้อมกับฉุดแขนดึงกลับมาไม่ให้เดินไปในที่ที่อาจเกิดอันตรายกับตัวเองได้ หลังจากคุณเอจูงมือคุณบีแฟนสาวให้เดินกลับมายังเต็นท์นั่งเล่นพูดคุยกันได้สักพักหนึ่ง คุณเอก็เกิดอาการอยากสูบบุหรี่ขึ้น จึงเอ่ยบอกว่าจะเข้าไปในเต็นท์เพื่อหยิบบุหรี่และไฟแช็คที่เก็บไว้ในกระเป๋าออกมา แต่คุณบีแฟนสาวก็ทำท่าหน้าดำคร่ำเครียดร้องไม่ให้เขาเข้าไปในเต็นท์ ปฏิกิริยาดังกล่าวสร้างความแปลกใจให้กับแฟนหนุ่มเป็นอย่างมาก…

0 Comments

คุณป้าข้างบ้าน

  สำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้ชีวิตประจำเมืองใหญ่หรือหาเช้ากินค่ำหลายครั้งที่เราอาจจะละเลยโดยเฉพาะคนที่เรารักในบ้านของเราเอง หากแต่ก็เป็นจริงอีกเช่นเดียวกันว่า มักจะยังมีอีกคนหนึ่งที่ยังคงสอดส่องให้ความสนใจเราอยู่เสมอแม้เราไม่ร้องขอใช่แล้วครับ ผู้เขียนกำลังหมายถึง “คุณป้าข้างบ้าน” นั่นเอง คำว่า “คุณป้าข้างบ้าน” ส่วนใหญ่มักจะกล่าวถึงหญิงสูงอายุที่ชอบสอดรู้สอดเห็นบ้านของเราที่อยู่ติดกันหรืออยู่ใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เราจะนำเสนอในวันนี้อาจจะแตกต่างไปสักหน่อย โดยเรื่องราวนั้นเราได้เล่าให้ฟังว่าพวกเขาได้ไปซื้อบ้านในรูปแบบทาวน์เฮ้าส์หลังหนึ่งในกรุงเทพมหานคร โดยบ้านหลังของคุณผู้ชายท่านนี้อยู่ติดกับบ้านพักอาศัยโดยคุณป้าท่านหนึ่งซึ่งเป็นอดีตข้าราชการในวัยเกษียณพักอาศัยอยู่ตัวคนเดียว แต่กลับมักมีนิสัยแปลกประหลาดชอบลุกขึ้นมาทำอะไรตอนกลางคืนโดยเฉพาะการทำอาหารในตอนดึก ๆ ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านที่กำลังนอนหลับอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเพื่อนบ้านได้พากันไปเตือนแต่คุณป้าก็ดูจะไม่ยอมฟัง นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่คุณป้าชื่นชอบก็คือการรดน้ำต้นไม้ที่สวนหน้าบ้าน ในช่วงวันที่เกิดเหตุผู้เล่าและภรรยามีธุระต้องไปต่างจังหวัดหลายวัน หลังจากเข้ามาในบ้านภรรยาก็เดินเข้าบ้านไปก่อนส่วนคุณผู้ชายผู้เล่าก็ได้เดินมายกของต่อจากในรถยนต์เข้าไปเก็บในระหว่างนั้นก็เห็นคุณป้าเดินออกมารดน้ำต้นไม้อีกครั้ง หากแต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจเพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมันเป็นช่วงเวลาที่ดึกมากแล้ว เราจำเสียงทักทาย คุณป้าไปแต่คุณป้าก็ไม่ยอมตอบอะไร พวกเราจึงตัดสินใจเดินเข้าบ้านไปนอนหลับ จะถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินเสียงทำกับข้าวยามดึกจากบ้านคุณป้าดังขึ้น หากแต่เพราะความเหนื่อยล้าของการเดินทางพวกเราจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว ช่วงสายของวันต่อมาผู้เล่าและภรรยาที่นอนหลับเพราะเกิดอาการเพลียจากการเดินทางไกลเมื่อคืนก่อนจำต้องตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจที่มีเสียงวุ่นวายที่บริเวณหน้าบ้าน เมื่อพวกเขาเดินออกมาดูก็ต้องพบกับเรื่องสะเทือนขวัญเมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยกำลังเดินกันสับสนวุ่นวายอยู่ที่หน้าบ้านคุณป้าข้าง ๆ…

0 Comments

มีศาลหน้ามหาลัยใครเห็นบ้าง

  อันว่าตำนานเรื่อง ภูตผีปีศาจหรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิญญาณ ในสถานศึกษาไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนถือเป็นเรื่องราวคลาสสิคที่ในสถานศึกษา แต่ละแห่งมักจะมีเรื่องผีเล่าสืบต่อกันมาเป็นของตนเอง โดยหนึ่งในเรื่องเล่าที่เราจะขอหยิบยกมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบกันในวันนี้นั่นก็คือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกับศาลปริศนา ตำนานเรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นอีกตำนานที่ถือว่าโด่งดังเป็นอย่างมากในหมู่นักเรียนนักศึกษาโดยเฉพาะผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเรื่องราวจะกล่าวถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงแห่งประเทศไทย โดยสถานศึกษาแห่งนี้จะตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่ มีสะพานลอยเอาไว้ให้ผู้คนข้ามถนน ซึ่งว่ากันว่าที่บริเวณใต้สะพานลอยที่ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้นั้น จะปรากฏศาลหลังหนึ่งให้เห็นอยู่ในที่แห่งนั้น หากแต่ที่แปลกใจก็คือภาพที่แต่ละคนเห็นมักจะไม่เหมือนกัน บ้างก็ว่าเป็นศาลขนาดใหญ่ประมาศาลเพียงตา บางคนบอกว่ามองเห็นเป็นศาลไม้เก่า ๆ เล็ก ๆ บางคนบอกเป็นศาลปูนเหมือนศาลพระภูมิสมัยใหม่ที่เราคุ้นตากัน ซึ่งมันเป็นตำนานที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมาในหมู่นักเรียนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ปัญหามันก็คือในความจริงแล้วที่บริเวณนั้นมันไม่เคยมีศาลใด ๆ ตั้งอยู่แต่อย่างใด โดยตำนานตามคำบอกเล่าของศาลลึกลับที่ยังเป็นปริศนาหน้ามหาวิทยาลัยนี้ว่ากันว่า ผู้ที่จะได้มีโอกาสประสบพบเจอนั่นก็คือผู้ที่ไม่เคยทราบรู้เรื่องตำนานเหล่านี้มาก่อน แต่หากท่านเป็นคนที่เคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับตำนานเรื่องเล่าของศาลตรงบริเวณใต้สะพานลอยหน้ามหาวิทยาลัยแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถมองเห็นศาลดังกล่าวได้อีก…

0 Comments

แท็กซี่ทะลุมิติ

สำหรับแฟนๆท่านผู้อ่านที่ได้เคยอ่านเรื่องราวสยองขวัญสั้นประสาทหรือภูตผีวิญญาณกับเรามาแล้ว จะพบว่ามีหลายครั้งที่พี่ไรเดอร์ซึ่งขับรถมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารมักจะบังเอิญไปเจอ เรื่องสยองขวัญ แต่สำหรับบทความของเราในตอนนี้เราจะขอเปลี่ยนการนำเสนอไปนำเสนอการพบเจอเรื่องราว ลึกลับสยองขวัญ ของอีกอาชีพหนึ่งซึ่งทำงานเกี่ยวกับยานพาหนะกันบ้างนั่นก็คือการพบเจอเรื่องราวเรื่องรักของพี่โชเฟอร์ขับแท็กซี่นั่นเอง เรื่องราวของเราในวันนี้มาจากคำบอกเล่าของพี่โชเฟอร์แท็กซี่ท่านหนึ่ง ที่ขับรถแท็กซี่ให้บริการอยู่ในเขตกรุงเทพฯ หากแต่ก็เหมือนกับท่านอื่น ๆ ตรงที่หากว่ามีการจ้างเหมาออกไปต่างจังหวัดรอบนอกที่ไม่ไกลเกินไปนักพี่เขาก็พร้อมจะให้บริการเช่นเดียวกัน โดยในวันเกิดเหตุพี่โชเฟอร์แท็กซี่ได้รับการว่าจ้างให้ขับรถไปส่งผู้โดยสารที่จังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออกไม่ใกล้ไม่ไกลจังหวัดกรุงเทพฯ มากนัก  และขากลับพี่โชเฟอร์แท็กซี่ก็ได้ขับรถกลับมาคนเดียวโดยเลือกใช้เส้นทางจากจังหวัดฉะเชิงเทรามายังกรุงเทพฯ ผ่านถนนสายหลักชื่อดังที่ท่านผู้อ่านก็น่าจะพอนึกออก โดยในขณะขับรถเดินทางมาพระอาทิตย์ก็ได้ตกดินเข้าสู่ช่วงเวลาค่ำของวัน พี่แท็กซี่ได้ทำการเปิดเครื่องเล่นแผ่นซีดีขับกล่อมบทเพลงเอาไว้เป็นเพื่อนในขณะเดินทาง แต่แล้วรถแท็กซี่ของเขาก็ไปสะดุดหลุมบนถนและทำให้ระบบเครื่องเสียงเกิดรวนกลายเป็นเครื่องรับวิทยุแทน พี่แท็กซี่จึงได้ละสายตาจากถนนด้านหน้าไปทำการแก้ไขให้กลับมาเล่นแผ่นซีดีต่ออีกครั้งหากแต่ภายหลังจากหันกลับมามองถนนอีกครั้งเพียงไม่กี่วินาที เขากลับพบว่ารถแท็กซี่ของเขาวิ่งอยู่ในถนนเส้นเล็ก ๆ เส้นหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก บ้านเรือนริมทางกลับไม่มีทั้งปั๊มน้ำมันหรือโครงการหมู่บ้านมากมายที่เคยพบเห็น พี่แท็กซี่พยายามหาทางออกจนขับรถผ่านไปยังบริเวณวัดแห่งหนึ่งที่มีการประดับประดาแสงสีประหนึ่งมีงานวัดหากแต่กลับไร้ซึ่งผู้คน ภายหลังกัดฟันขับรถไปเรื่อย ๆ ด้วยความหวาดกลัวว่าน้ำมันจะหมดเสียก่อน ก็ไปพบกับร้านค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่งภายในหมู่บ้านหมู่บ้านเล็ก…

0 Comments