ตํานานสุดแค้นแสนรักคุณหนูโออิวะ
สำหรับผู้ชื่นชอบและคลั่งไคล้ในตำนานเรื่องเล่าสยองขวัญก็น่าจะเคยได้ยินได้ฟังตำนานเกี่ยวกับเรื่องผีและความรักมาแล้วมากมายหลายเรื่อง เรื่องที่ดังมากในไทยก็คือเรื่องของ “แม่นาค พระขโนง” ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นเองก็มีตำนานเกี่ยวกับวิญญาณและความรักอันเก่าแก่แต่โบราณเล่าขานมาเช่นเดียวกัน เรื่องราวของเราในตอนนี้จะกล่าวถึงตระกูลขุนนางตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นตระกูลคหบดีผู้ร่ำรวยของเมืองหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นแต่โบราณ และที่ตระกูลนี้เองก็มีคุณหนูสาวสวยรูปงามและจิตใจดีอย่าง “คุณหนูโออิวะ” ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ รวมทั้งกิริยามารยาทและจิตใจที่ดีงาม แต่แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูผู้บริสุทธิ์สดใสคนนี้กลับไปรักกับซามูไรพเนจรคนหนึ่ง จนถึงขั้นขอร้องไห้ครอบครัวและคนในตระกูลยอมรับความรักระหว่างเขาทั้งสองคน บิดาของเธอทนความรบเร้าของบุตรสาวไม่ไหวในที่สุดก็ใจอ่อนยินยอมให้ทั้งคู่ได้ครองคู่กัน แต่แล้วก็กลายเป็นว่าซามูไรคนนั้นกลับกลายเป็นบุรุษผู้จิตใจดำมืด หลังจากได้ตกแต่งเข้ามาเป็นเขยในตระกูลนี้ก็ได้วางแผนเข่นฆ่าและทำร้ายผู้คนในตระกูลรวมทั้งบิดาของคุณหนูโออิวะ และเผลอทำร้ายจนคุณหนูเสียโฉม จากนั้นจับเธอก็ถูกจับขังเอาไว้ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน และในเวลาต่อมาเธอก็ตรอมใจตายในที่สุด(บางตำนานบอกว่าผูกคอตาย) ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อตายอย่างไม่สงบวิญญาณของเธอจึงไม่สามารถไปสู่สุคติได้ และคุณหนูโออิวะต้องกลายมาเป็นวิญญาณอาฆาตออกหลอกหลอนคนมากมายด้วยตนเองและผู้คนในเมืองดังกล่าวจะอยู่ไม่สุขกันเลยทีเดียว จนกระทั่งเวลามีผู้มีวิชามาทำการสะกดวิญญาณของเธอไว้รวมทั้งสร้างศาลเจ้าไว้ให้เธอปรากฏเป็นหลักฐานของขลังเจ้าซึ่งตั้งอยู่ในเมืองวังเวียง หากแต่แม้ว่าตำนานจะว่ากล่าวมาเช่นนั้นก็ตามในตำนานอีกด้านหนึ่งซึ่งถูกบอกเล่ากันมาเช่นเดียวกันกับอีกด้านหนึ่งของเมืองนั้น ได้บอกเอาไว้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวมันถูกเต็มเสริมเติมมาจากตระกูลที่เป็นคู่แค้นของครอบครัวคุณหนูดออิวะในเรื่องต่างหาก เพราะในความจริงแล้วซามูไรหนุ่มผู้กลายมาเป็นสามีของคุณหนูนั้นแท้จริงแล้วเขาเป็นคนดีมาก ๆ หลังจากได้ตกแต่งเข้ามาในตระกูลก็ร่วมด้วยช่วยกันกับคุณหนูพัฒนาตระกูลให้เจริญรุ่งเรือง ซึ่งสามีของเธอนั้นรักและเอาอกพอใจเธอเป็นอย่างมากถึงขั้นสร้างศาลเจ้าเพื่อสั่งสมบุญกุศลให้กับคุณหนูโออิวะภรรยาของตนและการมาเป็นศาลเจ้าที่ทุกคนเห็นในปัจจุบันเห็นและรู้จักกันดีในนาม “ศาลเจ้าโออิวะ”