ในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ ผมออกจากบ้านเพื่อจะไปซื้อข้าว ทว่าร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตในละแวกบ้านกลับปิดหมด ผมเดินไปเรื่อย ๆ หวังว่าจะเจอร้านเล็ก ๆ ที่ยังเปิดอยู่ แต่แทนที่จะเจอร้านอย่างที่คิด ผมกลับเจอกับห้างสรรพสินค้าปริศนาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“ห้างนี้มีตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย แต่ก็ยักไหล่และคิดว่าคงเป็นห้างเปิดใหม่ที่ยังไม่ดังละมั้ง
ผมเดินเข้าไปในห้างและพบว่าที่นี่ดูไม่ต่างจากห้างสรรพสินค้าทั่วไปนัก มีชั้นวางของเต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายชนิด ผมเริ่มเดินสำรวจแต่ก็เริ่มรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง แทบทุกอย่างในร้านนั้นมีบรรจุภัณฑ์และป้ายขายเหมือนกับที่เราเห็นในร้านขายอาหารสัตว์ แต่สิ่งที่ขายกลับเป็น…อาหารสำหรับมนุษย์?
มีทั้งอาหารกระป๋อง น้ำดื่มขวดใหญ่และของใช้อื่น ๆ ที่ทั้งหมดที่ถูกโหษณาและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่การนำเสนอสินค้ามันกลับดูตื่นเต้นและมีคำพูดอย่าง ‘มนุษย์ของคุณมีปัญหาเรื่องนี้หรือเปล่า’ ‘อยากเลี้ยงมนุษยืแต่ไม่มีเวลา’ จนทำให้ผมสับสน แต่ผมยังพยายามคิดในแง่ดีว่าอาจเป็นแค่ธีมการตลาดแปลก ๆ ของร้านนี้ก็ได้
ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปจากห้าง ผมก็ได้ยินเสียงขูดกับพื้น ดัง “แกรก…แกรก…” เสียงนั้นดังมากและทำให้รู้สึกเจ็บแสบหู ผมรีบวิ่งไปซ่อนตัวหลังชั้นวางอาหารกระป๋อง มองลอดช่องเล็ก ๆ ออกไปทางต้นเสียง
ผมเห็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์ แต่กลับมีแขนขายืดยาวผิดรูป ร่างนั้นกำลังเข็นกรงเหล็กใบใหญ่ที่ขูดไปกับพื้นส่งเสียงแสบหูจนขนลุก สิ่งที่ทำให้ผมสะดุ้งยิ่งกว่าคือสิ่งที่อยู่ในกรง…มนุษย์! พวกเขากำลังนั่งคลานอยู่ในกรง ทำตัวเหมือนหมาแมว มีบางคนที่ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างทุกข์ทรมาน พร้อมกับป้ายติดที่กรงว่า สินค้าใหม่
หัวใจผมเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก ร่างกายแข็งทื่อ ผมพยายามกลั้นหายใจไม่ให้ตัวเองถูกสังเกตเห็น ร่างปริศนานั้นเดินลากกรงผ่านไปช้า ๆ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ผ่อนคลาย มันก็หยุดและหันหัวมาทางที่ผมซ่อนอยู่ ดวงตาของมันเป็นสีดำมืด ไร้ความรู้สึก ผมกลัวจนแทบไม่กล้าขยับ แต่ในที่สุดมันก็เข็นกรงผ่านไป
ผมรอจนเสียงของมันหายไปในความเงียบ จึงรีบหนีออกจากห้างปริศนานั้นโดยไม่หันกลับไปมองอีก ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตจนมาถึงบ้าน ลมหายใจหอบเหนื่อย หัวใจยังคงเต้นแรง ภาพที่เห็นในห้างนั้นยังติดอยู่ในหัว ผมไม่รู้ว่าห้างนั้นคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือ ผมจะไม่กลับไปที่นั่นอีกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม