ที่สุดของเรื่องราวสุดหลอนของเด็กปี 1 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่บอกเล่าความเฮี้ยนที่มีหลายคนได้พบเจอบนทางคดเคี้ยวขึ้นไปยังที่ตั้งของมหาวิทยาลัย
สถานที่แห่งนี้ในเมื่อก่อนเป็นจุดสักการะบูชาของพระและผู้ที่เป็นฤาษีในสมัยก่อน ที่จะเปลี่ยนมาเป็นมหาวิทยาลัยนั่นเอง
ประสบการณ์สุดสยองของรุ่นน้องที่อย่าจะบอกเล่า
ผมชื่อเนตร เป็นนักศึกษาปี 1 คณะ วิจิตรศิลป์ที่ได้ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่ ในตอนนั้นผมกำลังอยู่ในช่วงแรกเริ่มเข้ามหาลัย จึงได้มีการรับน้องใหม่หลากหลายวิธี มีทั้งโหดบ้างเบาบ้าง จากรุ่นพี่ก็ดูสนุกสนานเฮฮาดีเช่นเดียวกัน แต่มีเรื่องหนึ่งที่รุ่นพี่คิดพี่พิเรนทร์มาก ล้อเล่นกับตำนานเรื่องเล่าสุดหลอน
นั่นก็คือการแบกเสลี่ยงที่ทำจากไม้ไผ่แล้วใส่เครื่องเส้นวิญญาณเอาไว้ แล้วให้น้องใหม่ในคณะที่เป็นผู้ชายแบกเดินขึ้นไปตั้งแต่ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยจนไปถึงคณะในช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ส่วนเหล่าบรรดาผู้หญิงรุ่นพี่ยังอนุโลมให้เดินตามบ้างขับมอเตอร์ไซค์บ้างในเส้นทางถนนที่คดเคี้ยว
จนไปถึงปลายทางด้านบนประมาณ 1 ทุ่มเศษๆ หลายคนก็คิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่าขานในช่วงเวลานานมาแล้วเท่านั้นเอง แต่ตอนช่วงเย็นเหล่าบรรดานักศึกษ าก็เริ่มกลับกันหมดแล้ว ซึ่งผมต้องคอยเช็คเก็บของปิดประตูช่วยรุ่นพี่ นั่นเป็นสิ่งที่รุ่นน้องหลายๆคนอาจจะต้องทำหลังจากที่เข้าสู่คณะ เป็นเวรรูปแบบหนึ่งที่จะต้องปิดและส่งกระดานการตรวจเช็คให้กับรุ่นพี่คอยเปิดตามจุดต่างๆ ด้วยกุญแจที่ส่งต่อพร้อมการตรวจเช็ค
ช่วงนั้นเป็นช่วงเย็นมาก ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนท้ายๆ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ที่กำลังลงมาด้วยจักรยานคู่ใจ ไหลมาตามเส้นทางลงจากมหาวิทยาลัยที่คดเคี้ยว สิ่งที่ผมได้พบเจอ นั่นก็คือเงาคล้ายผู้คนประมาณ 7- 8 คนกำลังเดินขึ้นมาอย่างพร้อมเพียง แต่สิ่งที่ผมได้สังเกตเห็นและจอดจักรยานล้มแอบข้างทางทันที เงาที่ผมเห็นเหล่านั้นไม่มีหัวแม้กระทั่ง เงาที่อยู่บนเสลี่ยงที่เป็นผู้หญิงก็ไม่มีหัวเช่นเดียวกัน
ผมจำเรื่องราวที่เพื่อนในกลุ่มเล่าให้ฟัง ให้หันหลังโดยไว นั่งพับเพียบลง เอาฝ่ามือทั้งสองปิดใบหน้าและพยายามก้มหน้าลงไม่ส่งเสียงอะไร ให้ขบวนนั้นผ่านไปจนไร้เสียงฝีเท้า ผมรีบทำตามสิ่งที่จดจำได้ในทันที ในตอนนั้นผมได้ยินเสียงกระพรวนและเสียงโลหะทอดยาวไปรางๆ ในตอนนั้นเสียงก็ได้หายไป ผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นเองผมก็ได้เริ่มนำมือออกจากใบหน้า ในเวลานั้นเหงื่อนั้นท่วมไหลในช่วงเวลาอากาศเย็น ผมจึงได้เริ่มขยับตัวและหันไปสิ่งที่ทำให้ผมหัวใจเกือบแทบหยุดเต้น คือขบวนนั้นยังหยุดอยู่ตรงจุดที่ใกล้กับบริเวณที่จักรยานของผมล้มอยู่ แล้วก็มีร่างของผู้ชายทำท่าคล้ายคลึงกับการกระโจนเข้ามา ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนั้นอยู่ที่เพิงขายของด้านบนมีตากับยายที่เล่าว่า เห็นผมสลบอยู่ข้างทางแถวๆ ทางขึ้นดูเหมือนจักรยานล้ม
ผมจึงนำเรื่องราวเหล่านี้ไปเล่าให้เพื่อนและรุ่นพี่ในคณะฟังเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผมได้ประสบพบเจอมากับเอง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อผมเลย คิดว่าสิ่งที่เล่ามานั้นเป็นเพียงแค่ความฝันบวกกับความหวาดกลัว แต่เรื่องที่ผมกล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริง ผมได้เขียนเรื่องนี้เอาไว้ในช่องทางออนไลน์อยู่หลายครั้ง ซึ่งมีผู้คนมากมายเข้ามาบอกเล่าถึงประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน นั่นจึงทำให้ผมมั่นใจได้เลยว่าสิ่งนั้นมันมีอยู่จริง